52 จำนวนผู้เข้าชม |
ทุกวันนี้ปัญหาผิวมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ใบหน้าใหญ่ สิว หรือความหมองคล้ำ แต่หนึ่งในปัญหาที่หลายคนยังเจออยู่เสมอ และสร้างความกังวลใจไม่น้อย ก็คือ “ฝ้า และ กระ” เพราะนอกจากจะทำให้ผิวดูหมองไม่กระจ่างใสแล้วนั้น ก็อาจส่งผลถึงความมั่นใจได้เช่นกัน บางคนอาจมีเพียงปัญหากระเล็กน้อย ขณะที่บางคนอาจมีรอยปื้นเข้มที่เราเรียกกันว่า “ฝ้า”
ซึ่งหลายครั้ง หลายคนก็ยังแยกไม่ออกว่าจุดด่างดำที่เจอนั้นเป็นฝ้าหรือกระ และไม่รู้ว่าควรรักษาด้วยวิธีไหนถึงจะตรงจุด ยิ่งปล่อยไว้นาน ยิ่งเสี่ยงให้ปัญหาฝังลึก และรักษาได้ยากมากขึ้น สำหรับใครที่กำลังเจอปัญหานี้อยู่ วันนี้ Seven Days Clinic จะมาเล่าให้ฟังว่า ฝ้าและกระคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร และมีแนวทางรักษาแบบไหนที่เหมาะสมค่ะ
ฝ้า (Melasma) คือ ภาวะผิวหนังที่เกิดลักษณะเป็นปื้นหรือจุดสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม มักเกิดบนบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ผลิตเม็ดสีเมลานินจำนวนมากจนผิดปกติ
ฝ้าเกิดจากอะไร
ฝ้า (Melasma) มีสาเหตุการเกิดได้หลากหลายสาเหตุ ซึ่งเกิดจากเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ที่ถูกกระตุ้น เนื่องจากเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocytes) เป็นเซลล์ที่อยู่ในชั้นผิวที่มีหน้าที่ในการสร้างเม็ดสีเมลานิน ยิ่งโดยเพศหญิง ที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ยิ่งทำให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินในปริมาณที่เพิ่ม และมากขึ้น เมื่อผิวหนังโดนกระตุ้น และปัจจัยหลักๆที่สามารถทำให้เกิดการกระตุ้น ดังนี้ค่ะ
พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นฝ้า ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดฝ้าก็มีอัตรามากขึ้น
ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ที่ไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดสี ยิ่งทำให้เกิดฝ้าง่ายขึ้น
แสงแดดและรังสี UV เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เม็ดสีทำงานมากเกินไป และฝ้าเข้มขึ้นอีกด้วย
ยา การใช้กลุ่มยาบางชนิด เช่น ยาที่มีผลต่อฮอร์โมน อาจทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
ฝ้า (Melasma) ไม่ได้เกิดจากการผิวผลิตเม็ดสีมากจนเกินไป แต่สามารถเกิดได้หลากหลายสาเหตุ ดังนั้นการรักษาก็อาจจะมีการรักษาที่แตกต่างออกไป ดังนั้นวิธีหลักๆในการรักษาปัญหาฝ้า มีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นในการเกิดฝ้าเพิ่ม
การหลีกเลี่ยงในทีนี้เช่น การหลีกเลี่ยงจากแสงแดด เน้นในการทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA++++ ทุกครั้ง หรือแม้กระทั้งบุคคลที่ทานยาคุมกำเนิด ที่จะส่งผลให้มีผลกระทบในการเกิดฝ้าได้นั้น อาจให้แพทย์แนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด ซึ่งก็แล้วแต่บุคคล
2. การใช้ยาเพื่อลดเม็ดสี
การใช้ผลิตภัณฑ์ สกินแคร์ หรือกลุ่มยาที่มีฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากหากใช้ผิดวิธีอาจส่งผลให้ฝ้าเกิดขึ้นใหม่ และรุนแรงกว่าเดิมได้
3. การรับประทานยา
ปัจจุบันแล้วมีการทานยาสำหรับช่วยลดการสร้างเม็ดสีได้ โดยจะต้องอยู่ภายใต้การดูแล และการประเมินจากแพทย์ก่อน
4. การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling)
คือการใช้กรดอ่อนๆ เช่น Glycolic acid หรือ Salicylic acid เพื่อให้มีการผลัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีผสม ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้การดูแล และการประเมินของแพทย์เช่นกัน
5. การฉีดฝ้า
ในปัจจุบันก็มีการรักษาแบบโปรแกรมฉีด เพื่อช่วยยั้บยังการสร้างเม็ดสี และลดความเข็มข้นของฝ้า และป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำ
6. การรักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์สามารถทำได้ แต่ต้องเลือกชนิดของเครื่องเลเซอร์ หรือเทคนิค ให้ตรงกับปัญหาฝ้า และชนิดของฝ้า
กระ คือ(Freckles) คือ ความผิดปกติของผิวหนังที่เกิดจากการที่ เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปเฉพาะจุด มักเห็นเป็นจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ กระจายอยู่บนใบหน้า ขนาดเล็ก 1-5 มม. เท่านั้น มักขึ้นบริเวณที่โดนแดด เช่น โหนกแก้ม สันจมูก ไหล่ แขน
กระเกิดจากอะไร
ปัจจัยหลักๆของการเกิดปัญหากระ มีดังต่อไปนี้
พันธุกรรม มักพบได้บ่อยสำหรับคนที่มีผิวขาว หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นกระ ซึ่งบางกลุ่มก็สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
แสงแดด (รังสี UV) เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เซลล์เม็ดสีเมลานินถูกผลิตมากขึ้น ทำให้กระเข็มขึ้น หรือมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น
ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น วัยรุ่นหรือวัยเจริญพันธุ์ อาจกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น
อายุ มักเห็นชัดขึ้นเมื่อโตขึ้น โดยเฉพาะในคนที่ต้องเจอแดดเป็นประจำ
ประเภทของกระจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน และแต่ละชนิดมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. กระตื้น (Freckles / Ephelides)
มีลักษณะของกระดังต่อไปนี้
จุดสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็ก 1–3 มม.
ขอบเขตชัดเจนมักเกิดตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น
สีเข้มขึ้นเมื่อโดนแดด และจางลงบ้างถ้าเลี่ยงแดด
2. กระแดด (Solar Lentigines / Sunspots / Age Spots)
มีลักษณะของกระดังต่อไปนี้
จุดสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ขนาดใหญ่กว่ากระตื้น (3–15 มม.)
ขอบค่อนข้างชัด มักเกิดในคนอายุมากขึ้น หรือคนที่เจอแดดสะสมมานาน
ไม่ค่อยจางลงเองแม้เลี่ยงแดด
3. กระลึก (Hori’s Nevus / Dermal Melanocytosis)
มีลักษณะของกระดังต่อไปนี้
เป็นปื้นสีน้ำตาลเทา หรือน้ำเงินอมเทา
มักเกิดบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง
เกิดจากเม็ดสีสะสมลึกในผิว (ชั้นหนังแท้)
รักษายากกว่ากระชนิดอื่น ต้องใช้เลเซอร์ช่วย
4. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)
มีลักษณะของกระดังต่อไปนี้
ตุ่มนูนหรือตุ่มแบนสีน้ำตาลเข้มถึงดำ
ผิวขรุขระคล้ายหูด
ไม่ใช่กระจริง ๆ แต่คนมักเรียกติดปากว่า “กระ”
พบมากในวัยกลางคนขึ้นไป เป็นการเปลี่ยนแปลงของผิวตามอายุ
การรักษาปัญหากระก็สามารถรักษาแตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกระ รวมไปถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดกระด้วยเช่นกันค่ะ ซึ่งมีวิธีการรักษาหลักๆดังนี้
1. การป้องกัน หลีกเลี่ยงแสงแดด
การหลีกเลี่ยงแสงแดด โดยการทาครีมกันแดดทุกครั้ง หรือหาอุปกรณ์ที่ช่วยหลบแดดได้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากระซ้ำ
2. การใช้ยาหรือครีมทาเฉพาะที่
กลุ่มยาลดเม็ดสี เช่น Hydroquinone, Retinoids, Azelaic acid, Kojic acid หรือ Vitamin C สามารถช่วยให้กระเบาบางลงได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อลดผลข้างเคียง
3. การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling)
ใช้กรดผลไม้ (AHA), Glycolic acid หรือ Trichloroacetic acid ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ที่มีเม็ดสีสะสม แต่ก็มีข้อควรระวังหลังทำการรักษาอย่างมาก
4. เลเซอร์หรือแสงความเข้มข้นสูง
ใช้สำหรับกระที่ดื้อยา หรือกระลึกที่อยู่ลึกในผิว การใช้เลเซอร์ CO₂ สามารถใช้กรณีมีความหนาหรือกระเนื้อนูน ช่วยลดสีและปรับผิวเรียบขึ้นได้ ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากใช้ผิดวิธีอาจทำให้กระเข้มขึ้นหรือผิวไหม้ได้
5. การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy)
การใช้ไนโตรเจนเหลวจี้ทำลายเซลล์เม็ดสี มักใช้กับกระแดดหรือกระเนื้อ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
เคลียร์ให้ชัดว่าระหว่าง ฝ้า และกระต่างกันอย่างไร
การรักษาฝ้าและกระให้ได้ผลดีนั้น จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม คุณสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อวิเคราะห์ปัญหาผิวเฉพาะบุคคลได้ที่ Seven Days Clinic พร้อมเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับฝ้าและกระของคุณ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยอย่างแน่นอนค่ะ